top of page
ค้นหา

แนวโน้มใหม่ของระบบบริหารคุณภาพ กับเทคโนโลยีการผลิตยุคปัจจุบัน

  • รูปภาพนักเขียน: Ruttakorn
    Ruttakorn
  • 1 ธ.ค.
  • ยาว 2 นาที
ree

ทำไมมาตรฐานยุคใหม่ไม่พูดถึง In-process QC?


เคยสังเกตกันไหมครับว่า ทำไมข้อกำหนดของระบบบริหารคุณภาพหลายๆ ฉบับ เช่น ISO 9001, IATF 16949, หรือแม้กระทั่ง VDA 6.3 แทบไม่ได้พูดถึงการตรวจสอบคุณภาพในระหว่างกระบวนการผลิตเลย?

ทั้งๆ ที่ในโรงงานจริง ๆ เรายังคุ้นเคยกับ “การสุ่มตรวจรายชั่วโมง”, “การตรวจ 5 ชิ้นทุกชั่วโมง”, หรือ “IPQC” แบบที่ทำกันมาเป็นสิบๆ ปี

แล้วแบบนี้...

  • เรายังต้องทำอยู่ไหม?

  • หรือสามารถลดงานตรวจลงได้?

  • หรือจะยกเลิกไปเลยก็ยังได้?

บทความนี้จะพาทุกคนมองให้รอบด้าน ทั้งมุมเทคโนโลยี มาตรฐาน และการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้ตอบคำถามนี้ได้อย่างมั่นใจที่สุดครับ


ภาพย้อนอดีต: ทำไมโรงงานสมัยก่อนต้องมี In-process QC?


ในยุคแรกของการปฏิวัติอุตสาหกรรม กระบวนการผลิตยังอาศัยทักษะของมนุษย์เป็นหลัก

  • ไม่มี Standardize Work

  • ไม่มี SOP / WI

  • ใช้เครื่องมือพื้นฐานมาก

  • ความแปรปรวนของกระบวนการ (Variation) สูงมาก

เนื่องจากความผันแปรสูง ทำให้จำเป็นต้องมี In-Process Quality Control (IPQC) เพื่อจับของเสียให้เร็วที่สุดก่อนที่ความผิดพลาดจะลามต่อไป

บทสรุปของยุคแรกคือ👉 “กระบวนการไม่เสถียร ดังนั้นต้องใช้การตรวจระหว่างกระบวนการมาคุมงานเสีย”


 

การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีการผลิต: จากงานช่าง → Mass Production


พอมาถึงยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีการผลิตก้าวหน้าไปไกลมาก เช่น

  • เครื่อง CNC ที่มีความแม่นยำสูง

  • ระบบการผลิตที่ใช้ Mold/Die ที่มีความคงที่ตลอดอายุการใช้งาน

  • ระบบ Automation หรือแม้แต่ Full Automation

  • ระบบ Feedback/Feedforward Control

  • ระบบตรวจจับอัตโนมัติ (Vision System, AOI)

ผลคือกระบวนการเริ่มเข้าสู่แนวคิด:👉 “ถ้าเริ่มถูกตั้งแต่ต้น กระบวนการจะผลิตงานดีได้ต่อเนื่องโดยไม่ต้องตรวจตลอดเวลา”

นี่คือสิ่งที่มาตรฐานยุคใหม่กำลังสะท้อนอยู่เช่นกันครับ


วิวัฒนาการ Quality Control” (เก่า → ใหม่)
วิวัฒนาการ Quality Control” (เก่า → ใหม่)

มาตรฐานคุณภาพสมัยใหม่กำลังบอกอะไรเรา?


ISO 9001:2015

ISO ไม่เคยบังคับให้ต้องมี In-process QCแต่ระบุเพียงว่าองค์กรต้อง

  • ควบคุมกระบวนการ (Clause 8.1, 8.5.1)

  • ตรวจรับรองผลิตภัณฑ์ก่อนส่งมอบ (Clause 8.6)

กล่าวง่ายๆ คือ👉 “ตรวจสุดท้ายให้ผ่านตามข้อกำหนดก็เพียงพอ หากความเสี่ยงยอมรับได้”


IATF 16949:2016 (อุตสาหกรรมยานยนต์)

แม้จะเข้มงวดกว่า ISO มาก แต่ยังคงไม่บังคับ In-process QC เช่นกันสิ่งที่ IATF เน้นคือ:

  • 8.5.1.3 Job Setup Verification

  • 8.5.1.4 Verify after Shutdown

นั่นหมายความว่า IATF ต้องการให้กระบวนการ👉 “ถูก Verify ก่อนเริ่มผลิต และทุกครั้งที่เริ่มใหม่หลังหยุด”


VDA 6.3:2023 (เยอรมัน/ยุโรป)

มีข้อ 6.2.2 ที่กำชับเรื่อง

  • Start production

  • Re-start production

แนวคิดเดียวกันคือ👉 “เริ่มให้ถูก แล้วกระบวนการจะผลิตงานดีเอง”


แนวคิดสำคัญของยุคใหม่: Verify/Validate ก่อนผลิตสำคัญกว่า IPQC


สรุปแนวคิดที่มาตรฐานรุ่นใหม่กำลังผลักดัน คือ:

✔ Validate:

ทดสอบว่า Tool, Jig, Fixture, Parameter สามารถผลิตงานดีได้จริงก่อนเริ่ม Mass Production

✔ Verify:

ตรวจสอบก่อนเริ่มผลิตทุกครั้ง เช่น

  • Job Setup

  • First Article Inspection (FAI)

  • Line Buy-off

ถ้าทั้งสองอย่างทำได้ดีมาก ๆ👉 โอกาสผลิตงานเสียจะต่ำมาก แม้ไม่ต้องมี IPQC เลย

แนวคิด Verify/Validate Model
แนวคิด Verify/Validate Model

ทำไมไม่ต้องมี In-process QC ตลอดเวลา


🔧 กรณีงานฉีดพลาสติก (Injection Molding)

ถ้าปรับ Mold + Parameter ถูกต้อง →

งานจะคงที่เป็นหมื่นชิ้นโดยไม่ต้องตรวจทุกชั่วโมง

 

🔧 กรณีงานปั๊มโลหะ (Stamping)

งานจะเสถียรยาวนานมากจนกว่าจะ

  • Tool สึก

  • เปลี่ยน Tool

  • หรือเครื่องหยุด

ซึ่ง IATF จึงเน้นการ Verify ตอน “หลังหยุดผลิต”

 

🔧 กรณีงานประกอบ PCB/อิเล็กทรอนิกส์

Automation + AOI + ICT Testทำให้ปริมาณงานเสียต่ำมากสิ่งที่สำคัญคือ

  • SPI/ AOI ต้องถูกตั้งค่า

  • Job Setup ต้องผ่านก่อนเริ่มต้น


แล้วแบบนี้โรงงานควรเลิกทำ In-process QC ไหม?


คำตอบคือ ขึ้นกับความเสี่ยงของกระบวนการครับก่อนเลิกต้องพิจารณา 5 ข้อนี้:

  1. ลูกค้าบังคับไหม

    ถ้าลูกค้าต้องการ IPQC → ยังยกเลิกไม่ได้

  2. กระบวนการมีความเสถียรแค่ไหน (Process Capability)

    มี Cp/Cpk ดีหรือยัง?ถ้า Cpk < 1.33 ต้องระวัง

  3. กระบวนการออกแบบและพัฒนาดีพอหรือไม่

    DFMEA / PFMEA / Control Plan ครบไหม?

  4. ระบบ Verify/Validate น่าเชื่อถือไหม

    First Article, Job Setup, Line Buy-off ทำจริงหรือแค่ลงเอกสาร?

  5. ลักษณะของงานเสียมีความเสี่ยงสูงไหม

    ถ้างานเสียมีผลกระทบ Safety → ไม่ควรตัด


Framework สำหรับเปลี่ยนจาก IPQC → Verify/Validate Model


องค์กรสามารถเริ่มปรับได้ตามขั้นตอนนี้:

  1. วิเคราะห์ความเสี่ยง (PFMEA/RPN)

  2. ประเมิน Process Capability

  3. ทบทวน Control Plan ใหม่

  4. สร้าง Criteria สำหรับ “Restart Events”

  5. สร้างขั้นตอน Job Setup Verification

  6. อบรมพนักงานให้เข้าใจแนวคิดใหม่

  7. ทำ Pilot Run 1–2 ไลน์ก่อน

  8. ประเมินผลลัพธ์ และค่อยๆ ขยาย

นี่เป็นแนวทางที่หลายโรงงานระดับโลกใช้กันจริง และช่วยลดต้นทุนคุณภาพลงได้มากครับ

Framework สำหรับเปลี่ยนจาก IPQC → Verify/Validate Model
Framework สำหรับเปลี่ยนจาก IPQC → Verify/Validate Model

สรุป: องค์กรที่พร้อมเท่านั้นที่จะ “เลิกตรวจรายชั่วโมง” ได้จริง


หากองค์กรมี

  • เทคโนโลยีการผลิตที่ดี

  • กระบวนการออกแบบที่แข็งแรง

  • Job Setup/FAI/Line Buy-off ที่ทำอย่างมีวินัย

  • การประเมินความเสี่ยงครบถ้วน

ก็สามารถ “ลด” หรือบางไลน์อาจ “เลิก” การตรวจในระหว่างกระบวนการได้โดยไม่เพิ่มความเสี่ยงด้านคุณภาพ


แต่ถ้าองค์กรยังไม่มั่นใจ หรือยังไม่มีระบบเหล่านี้👉 การเลิก IPQC อาจสร้างงานเสียได้มากกว่าเดิม


หากองค์กรของคุณต้องการ

  • ทบทวน PFMEA / Control Plan

  • ประเมินความเสี่ยงเพื่อเลิก IPQC อย่างปลอดภัย

  • ปรับกระบวนการเข้าสู่แนวคิด Verify & Validate แบบโรงงานระดับโลก

  • หรือทำ Gap Assessment ตาม ISO 9001 / IATF 16949 / VDA 6.3


ทีมที่ปรึกษา PVIC ของเรายินดีให้คำแนะนำแบบ “ใช้งานได้จริง” และเหมาะกับสภาพการผลิตในไทยครับ

Professional • Validity • Integrity

 
 
 

ความคิดเห็น


bottom of page